วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

นิทาน


นายชุ่มชื่นมีอาชีพขายฟืน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งใกล้เชิงเขา ทุกวันเขาจะเก็บกิ่งไม้แห้งจากเชิงเขาเพื่อนำไปขายในตลาด
ชาวบ้านซื้อกิ่งไม้ไปทำฟืนสำหรับหุงต้ม ฟืนของนายชุ่มชื่นขายดิบขายดีนายชุ่มชื่นได้เงินกลับบ้านมา ก็แบ่งให้ภรรยาไว้ใช้สอยประจำวัน

"..เล่เข้ามา เร่เข้ามา ไม่ซื้อไม่หาไม่ว่าอะไร ฟืนนายชื่นเนื้อไม้แห้งสนิท จุดง่ายติดง่ายใช้งานนานกว่าใคร"

วันหนึ่งภรรยานายชุ่มชื่นพูดกับสามีว่า..
ภรรยา...“เดินเก็บกิ่งไม้แห้งไปขายเมื่อไหร่จะร่ำรวยสักที”
นายชุ่มชื่น..“ใช่นั่นสิ ทั้งๆที่ฟืนฉันก็ขายดิบขายดี”
ภรรยา... “ฉันว่านะ แทนที่จะเก็บกิ่งไม้ เปลี่ยนเป็นไปตัดต้นไม้น่าจะดี”

รุ่งเช้านายชุ่มชื่นจึงออกตัดต้นไม้ที่ขึ้นรอบๆเชิงเขาขณะที่นายชุ่มชื่นกำลังตัดต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ก็มีแม่นกกางเขนตัวหนึ่งบินมาขอร้องไม่ให้ตัดต้นไม้ต้นนั้น
..แต่นายชุ่มชื่นก็ไม่สนใจ
แล้วก็ลงมือตัดต้นไม้ต่อไป ได้ไม้กองใหญ่นำไปขายได้เงินมากกว่าเดิม

ฝ่ายภรรยาเมื่อเห็นสามีได้เงินมากขึ้นก็เกิดความโลภจึงยุให้สามีไปตัดต้นไม้ให้หมดทั้งป่านายชุ่มชื่นเห็นด้วย จึงเกณฑ์ญาติพี่น้องมาช่วยกันตัดต้นไม้
แล้วก็พบกับสัตว์ป่าฝูงหนึ่งมาขอร้องไม่ให้ตัดต้นไม้เพราะจะทำลายที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์เหล่านั้น แต่นายชุ่มชื่นก็ไม่สนใจและยังคงตัดต้นไม้ต่อไป
คลิกฟังเสียงสัตว์ป่า
คลิกพวกของนายชุ่มชื่นโค่นป่า ..โค่น โค่น โค่น ตัด ตัด ตัดไม้ใหญ่ ไม้เล็ก เรามาตัดกัน!!!

แล้วก็ถึงวันที่ธรรมชาติลงโทษเมื่อป่าไม้เหลือแต่ตอไม่มีต้นไม้คอบโอบอุ้มซับน้ำฝน พอเกิดพายุใหญ่ ลม และฝนก็โหมกระหน่ำ

น้ำป่าไหลบ่าพัดพาเอาท่อนซุงที่กองไว้ ทับถมหมู่บ้านจนพังพินาท เกิดน้ำท่วมใหญ่ ทั้งหมู่บ้านจมอยู่ใต้น้ำ
นายชุ่มชื่นและภรรยาต้องไปอาศัยบนหลังคาบ้าน
นายชุ่มชื่น บ่นกับภรรยา ถึงความผิดพลาดจนก่อนให้เกิดความสูญเสียใหญ่หลวง
..คลิ๊กฟังนายชุ่มชื่นบ่นกับภรรยา ข้อคิดจากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง :
นายชุ่มชื่นและภรรยา หวังร่ำรวย ด้วยความมักง่าย
ไม่รู้จักประมาณตน , ไม่ใช้เหตุผล และขาดคุณธรรม
เบียดเบียน และทำลายธรรมชาติ สัตว์ป่า โดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อส่วนรวม

เพลงคำพ่อสอน
อยากให้รู้ว่าพ่อรักเราเท่าไหร่
พ่อสอนให้รู้จักคำว่าพอเพียง
มีเหตุผล ให้รอบคอบ รอบรู้มีภูมิคุ้มกัน
พอประมาณ ยึดถือคุณธรรม
ตั้งใจมั่น พร้อมเพรียงกันได้ไหม
เป็นสัญญาใจ ให้เราช่วยรักษา
คำพ่อสอน คำพ่อสั่ง ช่วยกันทำให้ได้ดังหวัง
ให้เราอยู่อย่างพอเพียง
..คลิกฟังเพลง คำพ่อสอน นิทานเรื่องนี้หาฟังได้จากซีดีนิทานเศรษฐกิจพอเพียง ชุดหมู่บ้านเห็ดหอม
5 วิธีง่ายๆ ในการเป็นเจ้าของซีดีนิทานเศรษฐกิจพอเพียงชุด หมู่บ้านเห็ดหอม

คำคม

โลกกลมๆใบนี้ ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง
คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีคำว่าแน่นอน
ความปราถนาอย่างแรงกล้า นั่นแหละคือเหตุผล
คนเราเมื่อม้าตาย ก็ต้องลงเดิน
คนเราจะไม่ต้องใช้สมองเลย ถ้าพูดแต่ความจริง
ท้อแท้ได้แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้แต่อย่าริษยา พักได้แต่อย่าหยุด
เหตุผลของคนๆ หนึ่ง อาจจะไม่ใช่เหตุผลของคนอีกคนหนึ่ง
ถ้าคุณไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัญหาทุกอย่าง ล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
น้ำใจส่วนน้ำใจ เหตุผลส่วนเหตุผล
เรื่องดีหรือเรื่องร้ายทางที่ดีบอกกันก่อน
หนทางยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
เราจะเห็นค่าความอบอุ่น ก็ต่อเมื่อเราผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดสำหรับชีวิตคนเรา คือ การคาดหวัง
เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
สวรรค์นั้นพึ่งยาก คนนั้นพึ่งยากกว่า
อย่ายอมแพ้ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน เบื้องหลังของสติ สมควรมีอารมณ์
ไม่มีคำว่าบังเอิญในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่าตั้งใจ
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใส
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางน่ะได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
เมื่อวานก็สายเกินแก้ พรุ่งนี้ก็สายเกินไป

ความรัก


เคยมีใครถามคุณไหมว่า"ความรักคืออะไร"
คิดว่าวันนี้มีคำตอบให้คุณแล้วล่ะ คำที่ใช้แทนคำว่า "ความรัก" ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า "ใส่ใจ" หากคุณคิดที่จะบอกรัก
หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครซักคน ลองถามตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน?
ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจ หากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่า คุณเคยพูดอะไร หรืออยากได้อะไร แล้วเค้าหาซื้อของชิ้นนั้นให้ ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย เพื่อเอาใจ... นั่นแหละถึงเรียกว่า ความใส่ใจ ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความหึงหวง หากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืน ถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง เพียงเพราะเค้าเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึก ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่น... นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียว หากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วย หากคนรักของคุณพูดอะไร หรือทำอะไร เพื่อคุณซักอย่างด้วยความตั้งใจ แต่คุณกลับไม่ชอบมัน คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วย
หากคุณทะเลาะกับคนรัก
แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คนรักของคุณยังโทรมา แสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ เหมือนทุกๆวัน ทั้งๆที่ยังไม่หายโกรธ... นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ หากคนรักของคุณยอมสละเวลาทำบางสิ่ง เอาไว้ทีหลัง เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ นั่นแหละเรียกว่า ความใส่ใจ คนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครซักคนคอยใส่ใจเราบ้าง หากคุณต้องปฏิบัติภาระกิจสำคัญ ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องเรียน หรือเรื่องอื่น ๆ มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า ตั้งใจนะ "โชคดีนะ" "พยายามนะ ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้ " หากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่า "ถึงหรือยัง" "ปลอดภัยดีไหม" "เหนื่อยไหม" หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่า "ขับรถดีๆนะ" หากคุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆ
และมันจะรู้สึกดีมาก ๆ ถ้าคนรักของคุณจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ของคุณ หรือแม้กระทั่งคนรอบข้างของคุณได้ นั่นเป็นเพราะเค้าใส่ใจในคำพูดและการกระทำของคุณ ความใส่ใจ กับ ความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆด้าน คุณอาจคิดว่า ยิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกัน
ความเกรงใจเป็นสิ่งดี และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครซักคน เพียงแต่วันนี้ คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง?????
อันความรักเปรียบเหมือนเส้นขนาน
ไม่มีวันผสานสัมพันธ์ได้
แค่ได้รักได้ใกล้เธอตลอดไป
ก็สุขใจเมื่อมีเธออยู่ข้างเคียง
เส้นขนานไม่มีวันมาบรรจบ
เหมือนบรรพตกว้างใหญ่มากั้นขวาง
อยากให้รักเป็นเช่นนี้ไปแสนนาน
เคียงคู่กันตลอดกาลฉันและเธอ

ความเครียด

ความเครียดคืออะไร
ความเครียด เป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจ ที่เกิดการตื่นตัว เตรียมรับกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเราคิดว่าไม่น่าพอใจ เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเกินกำลังทรัพยากรที่เรามีอยู่ หรือเกินความสามารถของเราที่จะแก้ไขได้ ทำให้รู้สึกหนักใจ เป็นทุกข์ และพลอยทำให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกายและพฤติกรรมตามไปด้วย
ความเครียดนั้นเป็นเรื่องที่มีกันทุกคน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา การคิด และการประเมินสถานการณ์ของแต่ละคน ถ้าเราคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ร้ายแรง เราก็จะรู้สึกเครียดน้อยหรือแม้เราจะรู้สึกว่าปัญหานั้นร้ายแรง แต่เราพอจะรับมือไหว เราก็จะไม่เครียดมาก แต่ถ้าเรามองว่าปัญหานั้นใหญ่ แก้ไม่ไหว และไม่มีใครช่วยเราได้ เราก็จะเครียดมาก
ความเครียดในระดับพอดี จะช่วยกระตุ้นให้เรามีพลัง มีความกระตือรือร้นในการต่อสู้ชีวิต ช่วยผลักดันให้เราเอาชนะปัญหาและอุปสรรค์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
แต่เมื่อใดที่ความเครียดมาเกินไป จนเราควบคุมไม่ได้ เมื่อนั้นที่เราจะต้องมาผ่อนคลายความเครียดกัน
ความเครียดเกิดจากอะไร
ความเครียดเกิดจากสาเหตุสำคัญ ๒ ประการคือ
๑. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น ปัยหาการเงิน ปัญหาการงาน ปัญหาครอบครัว ปัญหาการเรียน ปัญหาสุขภาพ ปัญหามลพิษ ปัญหารถติด ปัญหาน้ำท่วม ปัญหาฝนแล้ง ปัญหาความขัดแย้งระหว่างบุคคล ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้คนเราเกิดความเครียดขึ้นมาได้
๒. การคิดและการประเมินสถานการณ์ของบุคคล เราจะสังเกตได้ว่า คนที่มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ใจเย็น จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย เอาจริงเอาจังกับชีวิต และใจร้อน นอกจากนี้คนที่รู้สึกว่าตัวเองมีคนคอยให้การช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาเช่น มีคู่สมรส มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มีเพื่อนสนิทที่รักใคร่ และไว้วางใจกันได้ ก็จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่อยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง
ความเครียดมักไม่ได้เกิดจากสาเหตุเพียงใดสาเหตุเดียว แต่มักจะเกิดจากทั้งสองสาเหตุประกอบกัน คือมีปัญหาเป็นตัวกระตุ้น และมีการคิด การประเมินสถานการณ์ เป็นตัวบ่งบอกว่าจะเครียดมากน้อยแค่ไหนนั่นเอง
การจัดการกับความเครียด
แนวทางในการจัดการกับความเครียด มีดังนี้
๑. หมั่นสังเกตควาผิดปกติทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมที่เกิดจากความเครียด ทั้งนี้อาจใช้แบบประเมินและวิเคราะห์ความเครียดด้วยตนเองก็ได้
๒. เมื่อรู้ตัวว่าเครียดจากปัญหาใด ให้พยายามแก้ปัญหานั้นให้ได้โดยเร็ว
๓. เรียนรู้การปรับเปลี่ยนความคิดจากแง่ลบให้เป็นแง่บวก
๔. ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีที่คุ้นเคย
๕. ใช้เทคนิคเฉพาะในการคลายเครียด
การสำรวจความเครียดของตนเอง
ความเครียดจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางร่างกาย จิตใจและพฤติกรรมดังนี้
ความผิดปกติทางร่างกาย ได้แก่ ปวดศีรษะ ไมเกรน ท้องเสียหรือท้องผูก นอนไม่หลับหรือง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหารหรือกินมากกว่าปกติ ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ประจำเดือนมาไม่ปกติ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ มือเย็นเท้าเย็น เหงื่อออกตามมือตามเท้า ใจสั่น ถอนหายใจบ่อย ๆ ผิวหนังเป็นผื่นคัน เป็นหวัดบ่อย ๆ แพ้อากาศง่าย ฯลฯ
ความผิดปกติทางจิตใจ ได้แก่ ความวิตกกังวล คิดมาก คิดฟุ้งซ่าน หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด โกรธง่าย ใจน้อย เบื่อหน่าย ซึมเศร้า เหงา ว้าเหว่ สิ้นหวัง หมดความรู้สึกสนุกสนาน เป็นต้น
ความผิดปกติทางพฤติกรรม ได้แก่ สูบบุหรี่ ดื่มสุรามากขึ้น ใช้สารเสพติด ใช้ยานอนหลับ จู้จี้ขี้บ่น ชวนทะเลาะ มีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่นบ่อย ๆ ดึงผม กัดเล็บ กัดฟัน ผุดลุกผุดนั่ง เงียบขรึม เก็บตัว เป็นต้น
ทั้งนี้ อาจสำรวจความเครียดของคุณได้โดยการใช้แบบประเมินและวิเคราะห์ความเครียดด้วยตนเอง

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ฮา..ฮา กับโฆษณาไทยประกัน (ฉบับคนทำงาน)


เนื้อเพลงโฆษณาประกันชีวิตในแบบอ๊อฟฟิศ (มีภาพประกอบ)

When I was a just a little staff I asked Ma-nager what will I be Will “salary up” Will I be rich Here's what she(he) said to me Que sera sera Salary will not increase!! The Future’s not ours to see..... Que Sera Sera When I was a just a little staff I asked Ma-nager what will I be Will “bonus better” Will I be rich Here's what she(he) said to me Que sera sera The bonus may not be paid!!!!! The Future’s not ours to see..... She(he) say “Sorry” to me

ความเป็นจริง ของโลกใบนี้ ??

โลกกลมๆ ใบนี้ ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก คุณว่าจริงไหม . . .? อย่าไปให้ความสำคัญกับใครบางคน เมื่อคุณเป็นแค่ทางเลือกของเขา. สัมพันธภาพจะดีที่สุดเมื่อทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกันอย่างสมดุล ไม่ต้องสาธยายเกี่ยวกับตัวคุณให้ใครฟังหรอก เพราะคนที่ชอบคุณ ยังไงเขาก็ชอบ และไม่ต้องการฟังมัน แต่คนที่เกลียดคุณ ยังไงเขาก็ไม่เชื่อคุณหรอก เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณยุ่ง คุณก็จะไม่ว่างเลย เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณไม่มีเวลา คุณก็จะไม่มีเวลาเลย เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณจะทำในวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้จะไม่มีวันมาถึงเลย เมื่อเราตื่นขึ้นมาในยามเช้า เรามีทางเลือกง่ายๆ 2 อย่าง กลับไปนอนและฝันหวานต่อ หรือ ลุกขึ้นมาแล้วทำความฝันให้เป็นจริง มันก็แล้วแต่คุณจะเลือกแล้วล่ะ เรามักทำให้คนที่ใส่ใจเราต้องร้องไห้ เรามักร้องไห้ให้กับคนที่ไม่เคยใส่ใจเรา และเรามักใส่ใจกับคนที่ไม่มีวันร้องไห้ให้เรา นี่คือความจริงของชีวิต เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ถ้าเห็นคุณเห็นด้วย มันก็ยังไม่สายเกินแก้ เมื่อคุณกำลังสนุกสนาน ก็อย่ารับปากพล่อยๆ เมื่อคุณกำลังเศร้า ก็อย่าได้ตอบกลับ เมื่อคุณกำลังโกรธ ก็อย่าไปตัดสินใจอะไร คิดให้ถี่ถ้วน ทำอย่างสุขุม เวลาก็เหมือนสายน้ำ คุณไม่มีทางสัมผัสน้ำเดียวกันได้สองครั้งหรอก เพราะมันได้ไหลผ่านไปแล้ว มีความสุขกับทุกช่วงชีวิตของเราดีกว่า...

ที่มา:www.teenee.com

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หลัการทำงานของคอมพิวเตออร์

ระบบการทํางานของคอมพิวเตอร์
การทํางานของคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
1. หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) ทําหน้าที่ในการรับข้อมูลหรือคําสั่งจากภายนอกเข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจํา เพื่อเตรียมประมวลผลข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในการนําข้อมูลที่ใช้กันอยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น มีอยู่หลายประเภทด้วยกันสําหรับอุปกรณ์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมี ดังต่อไปนี้ - Keyboard - Mouse - Disk Drive - Hard Drive - CD-Rom - Magnetic Tape - Card Reader - Scanner 2. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) ทํ าหน้าที่ในการคํานวณและประมวลผล แบ่งออกเป็น 2 หน่วยย่อย คือ - หน่วยควบคุม ทําหน้าที่ในการดูแล ควบคุมลําดับขั้นตอนของการประมวลผล และการทํางานของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในหน่วยประมวลผลกลาง และช่วยประสานงานระหว่างหน่วยประมวลผลกลาง กับอุปกรณ์นําเข้าข้อมูล อุปกรณ์ในการแสดงผล และหน่วยความจําสํารอง - หน่วยคํานวณและตรรก ทําหน้าที่ในการคํานวณและเปรียบเทียบข้อมูลต่างๆ ที่ส่งมาจากหน่วยควบคุม และหน่วยความจํา
3. หน่วยความจํ า (Memory) ทําหน้าที่ในการเก็บข้อมูลหรือคําสั่งต่างๆ ที่รับจากภายนอกเข้ามาเก็บไว้ เพื่อประมวลผลและยังเก็บผลที่ได้จากการประมวลผลไว้เพื่อแสดงผลอีกด้วย ซึ่งแบ่งออกเป็น หน่วยความจํา เป็นหน่วยความจําที่มีอยู่ ในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ ทําหน้าที่ในการเก็บคําสั่งหรือข้อมูล แบ่งออกเป็น - ROM หน่วยความจําแบบถาวร - RAM หน่วยความจําแบบชั่วคราว - หน่วยความจําสํารอง เป็นหน่วยความจําที่อยู่นอกเครื่อง มีหน้าที่ช่วยให้หน่วยความจําหลักสามารถเก็บ ข้อมูลได้มากขึ้น
4. หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทําหน้าที่ในการแสดงผลลัทธ์ที่ได้หลังจากการคํานวณและประมวลผล สําหรับอุปกรณ์ที่ ทําหน้าที่ในการแสดงผลข้อมูลที่ได้นั้นมีต่อไปนี้ - Monitor จอภาพ - Printer เครื่องพิมพ. - Plotter เครื่องพิมพ์ที่ใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลต่างๆ ที่ต้องการลงกระดาษ
แหล่งที่มา: http://www.geocities.com/kunkroo_computer/intro5.html
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
เมนบอร์ด (Mainboard, mother board) หรือ แผงวงจรหลัก เป็นหัวใจสำคัญที่สุดที่อยู่ภายในเครื่อง เมื่อเปิดฝาเครื่องออกมาจะเป็นแผงวงจรขนาดใหญ่วางนอนอยู่ นั่นคือส่วนที่เรียกว่า "เมนบอร์ด"ส่วนประกอบหลักที่สำคัญบนเมนบอร์ดคือ
ซ็อคเก็ตสำหรับซีพียู
ชิปเซ็ต (Chip set)
ซ็อคเก็ตสำหรับหน่วยความจำ
ระบบบัสและสล็อต
Bios
สัญญาณนาฬิกาของระบบ
ถ่านหรือแบตเตอรี่
ขั้วต่อสายแหล่งจ่ายไฟ
ขั้วต่อสวิทช์และไฟหน้าเครื่อง
จัมเปอร์สำหรับกำหนดการทำงานของเมนบอร์ด
ขั้วต่อ IDE
ขั้วต่อ Floppy disk drive
พอร์ตอนุกรมและพอร์ตขนาน
พอร์ตคีย์บอร์ดและเมาส์
พอร์ต USB


แสดงส่วนประกอบต่าง ๆ ที่อยู่บนเมนบอร์ด ECS P6VPA2
แหล่งที่มา: http://kroo.ipst.ac.th/wkv/mainboard.html
CPU
ซีพียู CPU (Central Processing Units) หรือ หน่วยประมวลผลกลาง คือส่วนที่เรียกว่าเป็นหัวใจของเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง เพราะการทำงานทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการคำนวณ การย้ายข้อมูล การตัดสินใจ ล้วนเกิดขึ้นที่นี่ทั่งสิ้น เพียงแต่ว่าซีพียูจะต้องมีอุปกรณ์อื่น ๆ ทำงานร่วมด้วย เพื่อให้สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้นั่นก็คือการับข้อมูลและแสดงผลข้อมูล

ซีพียู Intel Pentium III
ซีพียู Intel Celeron


ซีพียู Intel Pentium III แบบ Slot 1

ซีพียู AMD Athlon
แหล่งที่มา: http://kroo.ipst.ac.th/wkv/cpu.html
แรม
แรม (RAM: Random Access Memory หน่วยความจำเข้าถึงโดยสุ่ม หรือหน่วยความจำชั่วคราว) เป็นหน่วยความจำหลัก ที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจำชนิดนี้ อนุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ในตำแหน่งต่างๆ อย่างอิสระ และรวดเร็วพอสมควร ซึ่งต่างจากสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆ อย่างเทป หรือดิสก์ ที่มีข้อจำกัดในการอ่านและเขียนข้อมูล ที่ต้องทำตามลำดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในสื่อ หรือมีข้อกำจัดแบบรอม ที่อนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว

แหล่งที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1
ฮาร์ดดิส
ระบบฮาร์ดดิสค์แตกต่างกับแผ่นดิสเกตต์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีจำนวนหน้าสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลมากกว่าสองหน้า นอกจากระบบฮาร์ดดิสค์จะเก็บบันทึกข้อมูลเหมือนแผ่นดิสเกตต์ยังเป็นส่วนที่ใช้ในการอ่านหรือเขียนบันทึกข้อมูลเหมือนช่องดิสค์ไดรฟ์
แผ่นจานแม่เหล็กของฮาร์ดดิสค์ จะมีความหนาแน่นของการจุข้อมูลบนผิวหน้าได้สูงกว่าแผ่นดิสเกตต์มาก เช่น แผ่นดิสเกตต์มาตราฐานขนาด 5.25 นิ้ว ความจุ 360 กิโลไบต์ จะมีจำนวนวงรอบบันทึกข้อมูลหรือเรียกว่า แทร็ก(track) อยู่ 40 แทร็ก กรณีของฮาร์ดดิสค์ขนาดเดียวกันจะมีจำนวนวงรอบสูงมากกว่า 1000 แทร็กขึ้นไป ขณะเดียวกันความจุในแต่ละแทร็กของฮาร์ดดิสค์ก็จะสูงกว่า ซึ่งประมาณได้ถึง 5 เท่าของความจุในแต่ละแทร็กของแผ่นดิสเกตต์
เนื่องจากความหนาแน่นของการบันทึกข้อมูลบนผิวแผ่นจานแม่เหล็กของฮาร์ดดิสค์สูงมาก ๆ ทำให้หัวอ่านและเขียนบันทึกมีขนาดเล็ก ตำแหน่งของหัวอ่านและเขียนบันทึกก็ต้องอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ชิดกับผิวหน้าจานมาก โอกาสที่ผิวหน้าและหัวอ่านเขียนอาจกระทบกันได้ ดังนั้นแผ่นจานแม่เหล็กจึงควรเป็นแผ่นอะลูมิเนียมแข็ง แล้วฉาบด้วยสารแม่เหล็ก ฮาร์ดดิสค์จะบรรจุอยู่ในกล่องโลหะปิดสนิท เพื่อป้องสิ่งสกปรกหลุดเข้าไปภายใน ซึ่งถ้าต้องการเปิดออกจะต้องเปิดในห้องเรียก clean room ที่มีการกรองฝุ่นละออกจากอากาศเข้าไปในห้องออกแล้ว ฮาร์ดดิสค์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันเป็นแบบติดภายในเครื่องไม่เคลื่อนย้ายเหมือนแผ่นดิสเกตต์ ดิสค์ประเภทนี้อาจเรียกว่า ดิสค์วินเชสเตอร์(Winchester Disk)
แหล่งอ้างอิง: http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/ayutthaya/jaurkit_j/computer/sec03p06.html
พาวเวอร์ซัพพลาย
แหล่งจ่ายไฟสำหรับคอมพิวเตอร์ หรือ พาวเวอร์ซัพพลาย (Power Supply) เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญอย่างมากต่ออุปกรณ์เกือบทุกตัวในระบบคอมพิวเตอร์ ซัพพลายของคอมพิวเตอร์นั้นมีลักษณะการทำงาน คือทำหน้าที่แปลงกระแสไฟฟ้าจาก 220 โวลต์ เป็น 5 โวลต์ และ 12 โวลต์ ตามแต่ความต้องการของอุปกรณ์นั้นๆ โดยชนิดของพาวเวอร์ซัพพลาย ในคอมพิวเตอร์จะแบ่งได้เป็น 2 ชนิดตามเคส คือแบบ AT และแบบ ATX

หลักการทำงานของพาวเวอร์ซัพพลาย
พาวเวอร์ซัพพลาย ทั้งแบบ AT และ ATX นั้นมีลักษณะการทำงานที่เหมือนกัน คือรับแรงดันไฟจาก 220-240 โวลต์ โดยผ่านการควบคุมด้วยสวิตช์ สำหรับ AT และเมนบอร์ด แล้วส่งแรงดันไฟส่วนหนึ่งกลับไปที่ช่อง AC output เพื่อเลี้ยงตัวมอนิเตอร์ และจะส่งแรงดันไฟ 220 โวลต์ อีกส่วนหนึ่งเข้าสู่หน่วยการทำงานที่ทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟสลับ 220 โวลต์ ให้เป็นไฟกระแสตรง 300 โวลต์ โดยไม่ผ่านหม้อแปลงไฟ ระบบนี้เรียกว่า (Switching power supply ) และผ่านหม้อแปลงที่ทำหน้าที่แปลงไฟตรงสูงให้เป็นไฟตรงต่ำ โดยจะฝ่านชุดอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กำหนดแรงดันไฟฟ้าอีกชุดหนึ่งแบ ่งให้เป็น 5 และ 12 ก่อนที่จะส่งไปยังสายไฟและตัวจ่ายต่างๆ โดยความสามารถพิเศษของ Switching power supply ก็คือ มีชุด Switching ที่จะทำการตัดไฟเลี้ยงออกทันทีเมื่อมีอุปกรณ์ที่โหลดไฟตัวใดตัว หนึ่งชำรุดเสียหาย หรือช็อตนั่นเอง
แหล่งที่มา: http://th.wikipedia.
การ์ดจอ
Display Card
การ์ดแสดงผลหรือการ์ดจอ หรือเรียกอีกอย่างก็คือ VGA Card (Video Graphic Array) ถ้าเป็นการ์ดรุ่นใหม่ๆ ที่ใช้สำหรับเล่นเกมก็จะเรียกว่า 3D Card ซึ่งเป็นการ์ดที่ช่วยให้การแสดงรูปภาพที่เป็นภาพสามมิติทำได้เร็วขึ้น การ์ดแสดงผลจะส่งสัญญาณภาพไปแสดงที่จอคอมพิวเตอร์ การ์ดบางรุ่นจะแสดงผลได้สองจอพร้อมกัน เรียกว่า Dual Head เนื่องจากมีพอร์ตสำหรับต่อสายจากจอมอนิเตอร์ได้สองจอ และการ์ดบางรุ่นจะมีช่องส่งสัญญาณภาพ ออกไปที่โทรทัศน์ได้ด้วย เรียกว่า TV-Out

แหล่งที่มา: http://www.zabzaa.com/hardware/display_card.htm
การ์ดเสียง
Sound Card
การ์ดเสียง ที่จะช่วยให้คุณฟังเพลง ดูหนัง เล่นเกม บันทึกเสียงเข้าไปในคอมพิวเตอร์ได้ แม้เมนบอร์ดส่วนใหญ่ จะรวมเอาการ์ดเสียงเป็นชุดเดียวกับเมนบอร์ด (Sound on Board) แต่ถ้าหากต้องการคุณภาพเสียงที่ดีกว่า หรือต้องการใช้งานด้านตนตรี ตัดต่อวิดีโอ ฟังเพลง ดูหนัง ที่ได้อารมณ์สุดๆ ก็ควรเลือกการ์ดเสียงที่ทำเป็นการ์ด แยกต่างหาก ตัวอย่างการ์ดที่ได้รับความนิยมก็เช่น Creative SoundBlaster Live, Audigy


แหล่งที่มา: http://www.zabzaa.com/hardware/soundcard.htm
Monitor มอนิเตอร์ จอภาพ

Monitor
เรียกว่าจอภาพ หรือจะเรียกทับศัพท์ว่ามอนิเตอร์ก็ไม่ผิดกติกา ที่ด้านหลังของจอจะมีสายเอาไว้ต่อเข้ากับ การ์ดจอ จอภาพก็มีขนาดให้เลือกใช้งานเช่นเดียวกับจอทีวี เริ่มตั้งแต่เล็กๆ 15 นิ้ว 17, 19, 20, 21, 24 มีทั้งแบบจอแบบ CRT หรือจะเล่นจอแอลซีดีที่มีดีไซน์หรู บางเฉียบ จอที่น่าสนใจก็เป็นขนาด 17 นิ้ว เนื่องจากราคาไม่ต่างจากจอขนาด 15 นิ้วมากนัก ที่สำคัญก็คือช่วยให้คุณทำงานได้สะดวก ขึ้น เพราะโปรแกรม เกม ส่วนใหญ่มีเครื่องมือเยอะ ทำให้การแสดงผลบนจอ 15 นิ้วเกะกะจนแทบไม่เหลือหน้าจอสำหรับ ทำงาน ข้อควรจำอีกอย่างก็คือ ภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์สามารถตั้งค่าให้แสดงขนาดเล็กลงหรือใหญ่ขึ้นได้ เรียกว่าการตั้งค่า Resolution
แหล่งที่มา: http://www.zabzaa.com/hardware/monitor.htm
Keyboard คีย์บอร์ด แป้นพิมพ์

Keyboard
แป้นพิมพ์ การพิมพ์ข้อความ การสั่งงานคอมพิวเตอร์และการทำงานหลายๆ อย่างต้องใช้แป้นพิมพ์เป็นหลัก แป้นพิมพ์หรือคีย์บอร์ดจะต่อสายเข้ากับพอร์ต PS/2 ของเมนบอร์ด นอกจากนี้ยังมีคีย์บอร์ดที่เป็นแบบ USB คือต้องต่อเข้าที่พอร์ต USB ของเมนบอร์ด และยังมีคีย์บอร์ดไร้สายอีกด้วย
แหล่งที่มา: http://www.zabzaa.com/hardware/keyboard.htm
CD-ROM / CD-RW / DVD

ไดรฟ์สำหรับอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีรอม (CD-RW) ซีดีเพลง (Audio CD) โฟโต้ซีดี (Photo CD) วิดีโอซีดี (Video CD) โดยไดรฟ์ทั้งสามประเภท จะมีความสามารถในการอ่านข้อมูล จากแผ่นซีดีที่กล่าวมาข้างต้นอยู่แล้ว แต่ถ้าหากคุณต้องการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีได้ด้วย จะต้องเลือกใช้ไดรฟ์ CD-RW และถ้าต้องการอ่านข้อมูลจากแผ่น DVD ก็ต้องใช้ไดรฟ์ DVD นอกจากนี้ยังมีไดรฟ์อีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า Combo Drive คือเป็นไดรฟ์ที่รวมทั้งไดรฟ์ DVD และไดรฟ์ CD-RW อยู่ในไดรฟ์เดียว ทำให้ทั้งดูหนังฟังเพลง บันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีได้เลย ความเร็วของไดรฟ์ซีดีรอมจะเรียกเป็น X เช่น 8X, 40X, 50X ยิ่งมากก็คือยิ่งเร็ว ส่วน CD-RW นั้นจะมีตัวเลขแสดง เช่นเดียวกัน เพียงแต่จะเพิ่มความเร็วในการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดี เช่น 24/10/40X นั่นคือความเร็วในการบันทึกแผ่น CD-R สูงสุด ความเร็วในการบันทึกข้อมูลลงแผ่น CD-RW และความเร็วในการอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีโปรแกรม หรือซีดี เพลง
แหล่งที่มา: http://www.zabzaa.com/hardware/cd_rom.htm
สรุปความสำคัญ

ในปัจจุบันหน่วยงานทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ก็มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในหน่วยงานขึ้น และมีแนวโน้มที่จะมีการใช้สูงขึ้น เหตุผลที่มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น คือ
1 . คอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก เช่น เก็บข้อมูลงานทะเบียนราษฏฐ์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยซึ่งสามารถตรวจสอบประ วัติของบุคคลต่างๆได้ เป็นต้น
2 . คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้รวดเร็ว งานบางอย่างคอมพิวเตอร์จะทำได้ในพริบตาในขณะที่ถ้าให้คนทำอาจจะต้องใช้เวลานา น
3 . คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องหยุดพัก คือทำงานได้ตลอดเวลา ในขณะที่ยังต้องมีไฟฟ้าอยู่
4 . คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ถ้ามีการกำหนดโปรแกรมทำงานที่ถูกต้อง จะไม่มีการทำงานผิดพลาดขึ้นมา
5 .คอมพิวเตอร์สามารถทำงานแบบคนได้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย เช่น ที่มีก๊าซพิษ กัมมันตภาพรังสี หรือในงานที่มีความเสี่ยงสูงในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

เเนะนำตัว

ชื่อนางสาวศศิธร ขันธวัต ชื่อเล่น ปุ๋ย

อยู๋โรงเรียนอาเวมารีอา

ม5/3 เลขที่18 ชอบเรียนวิชาคอมพิวเตอร์

ครูผู้สอน คุณครูวีระชน ไพรสาทย์

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

ผลไม้

วันหากร่างกายไม่ได้รับกากใยอาหารอย่างเพียงพอจะเกิดปัญหากับระบบขับถ่าย ท้องผูก และเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ในผักและผลไม้มีกากใยอาหารหรือไฟเบอร์สูง แบ่งออกเป็นชนิดละลายน้ำกับชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ชนิดที่ละลายน้ำได้จะช่วยลดคอเลสเทอรอลได้อีกด้วย พบใน คะน้า บล็อกโคลี่ กระเจี๊ยบ ถั่วลันเตาทั้งฝัก ถั่วเหลือง ถั่วแดง ส้ม ลูกพรุน แคนตาลูป แอ๊ปเปิ้ลและสตรอว์เบอร์รี่ ส่วนชนิดไม่ละลายน้ำพบมากในผักผลไม้ทั่วไป
กินผักผลไม้ต่างสี วันละเท่าไรถึงจะพอ
วิธีกินผักที่ถูกต้องคือ ควรเลือกกินผักอย่างน้อยวันละ 3 ชนิด เป็นผักที่มีสีเขียวจัด 2 ชนิด ชนิดละประมาณ 1/2 ถ้วยตวง เช่น คะน้า บล็อกโคลี่ ผักโขม ผักบุ้ง ตำลึง กระเจี๊ยบเขียว เนื่องจากผักสีเขียวจัดมีสารจำพวกโฟเลท ช่วยป้องกันโรคหัวใจ สมองเสื่อม และยังป้องกันความผิดปกติในระบบประสาทของทารกในครรภ์ ส่วนผักอีกชนิดที่เหลือให้เลือกสีอื่นตามชอบ สำหรับผลไม้แนะนำให้กินผลไม้ที่มีแบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์สูง คือ พวกที่มีสีส้มจัดหรือเหลืองจัดวันละหนึ่งชนิด พวกที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง มะละกอสุก สับปะรด หนึ่งชนิด และอีกหนึ่งชนิดตามชอบ ในปริมาณอย่างละ 1 ถ้วยตวงต่อวัน กินสด ต้ม ผัด...วิธีใดดีกว่ากัน
ความร้อนและระยะเวลาในการปรุงอาหารทำให้วิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซีและบี สลายไป ส่วนวิตามินอื่นๆ ที่ทนต่อความร้อนได้ก็จะมีปริมาณลดลง เช่น วิตามินที่ละลายในไขมัน คือ วิตามินเอ ดี อี เค และเบต้าแคโรทีน รวมทั้งแร่ธาตุ แต่มีผักผลไม้บางชนิดที่แนะนำให้ปรุงก่อนรับประทาน เพื่อให้ร่างกายดูดซึมสารที่มีประโยชน์ไปใช้ได้มากขึ้น ลองดูตัวอย่างดังนี้ค่ะการกินมะเขือเทศสดๆ ให้วิตามินซีสูง แต่เมื่อนำไปปรุงโดยเติมน้ำมันเล็กน้อย จะช่วยให้ผนังเซลล์ของมะเขือเทศปล่อยสารไลโคพีนซึ่งมีฤทธิ์ป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากและโรคหัวใจ
บล็อกโคลี่สดให้วิตามินซีสูง เมื่อผ่านความร้อนวิตามินซีและบีจะลดลงมาก แต่วิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ ยังคงอยู่ การกินแครอทปรุงสุกด้วยน้ำมัน จะช่วยให้ร่างกายดูดซึม “เบต้าแคโรทีน” ได้ดี
ผลไม้ที่กินได้ทั้งเปลือก ควรกินเปลือกด้วยเพราะมีสารที่เป็นประโยชน์อยู่ที่เปลือก เช่น แอ๊ปเปิ้ลแดงมีสารฟลาโวนอยด์ช่วยต้านมะเร็ง ส่วนเนื้อจะมีใยอาหารชนิดละลายในน้ำและวิตามินซี
ผักผลไม้แหล่งรวมสารพิษ ผักผลไม้มีประโยชน์แต่ก็อาจทำให้เกิดโทษได้ เพราะปัจจุบันมีการเก็บเกี่ยวพืชผักก่อนเวลาสลายตัวของยาฆ่าแมลงทำให้ร่างกายสะสมสารตกค้างเหล่านี้ไว้ โดยเฉพาะคนที่กินผักหรือผลไม้ซ้ำๆ กัน จะได้รับสารเคมีตัวเดิมเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย รวมทั้งเชื้อโรคและพยาธิชนิดต่างๆ วิธีที่ดีที่สุดคือการรับประทานผักและผลไม้ให้หลากหลาย ควบคู่ไปกับเทคนิกการล้างผักผลไม้คู่ครัว ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีให้เลือกใช้ได้ตามสะดวกล้างแบบน้ำไหล ล้างผักในตระแกรงให้น้ำไหลผ่าน หรือคลี่ผักเป็นใบๆ แล้วเปิดน้ำไหลสัก 2-3 นาที จะช่วยชะสารตกค้างในผักผลไม้ได้ดี ผสมเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา กับน้ำอุ่น 6-7 ลิตร แช่ผักประมาณ 10-15 นาที เบกกิ้งโซดาจะทำปฏิกิริยาทำให้ยาฆ่าแมลงละลายไปกับน้ำ หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีก 2 ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผักเปลี่ยนสี จากเขียวสดเป็นสีเขียวแก่เวลาปรุง วิธีนี้ช่วยลดสารพิษตกค้างได้ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ผสมกลือ 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำ 4 ลิตร หรือผสมน้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วยตวงกับน้ำ 5 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนนำไปปรุง ใช้น้ำยาล้างผักและผลไม้ หรือละลายด่างทับทิม 4-5 เกล็ด กับน้ำ 5 ลิตร ให้พอเป็นสีชมพูอ่อนๆ แช่ผักและผลไม้ทิ้งไว้ช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ ผลไม้ที่กินทั้งเปลือก เช่น แอ๊ปเปิ้ล ฝรั่ง ควรใช้ฟองน้ำหรือใยบวบล้างและถูเบาๆ ส่วนผลไม้ที่เราไม่ได้รับประทานทั้งเปลือก เช่น ส้ม แตงโม แคนตาลูป ก็ควรล้างเปลือกให้สะอาดก่อน เพราะอาจมีเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อโรคติดอยู่ที่ผิวซึ่งจะติดมือหรือมีดแล้วปนเปื้อนไปกับเนื้อผลไม้

นิทาน

ไอ้กะทิ หนุ่มน้อยแห่งดงมะพร้าวเตี้ย แอบมีความรักกับ หนูแป้ง สาวสวยประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน ทั้งคู่เจอกันวันลอยกระทง และสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้าแม้จะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอยึดมั่นความรักแท้ที่มีต่อกันชั่วฟ้าดินสลาย
ไอ้กะทิ ก้มหน้าก้มตาเก็บหอมรอมริบหาเงินเพื่อมาสู่ขอลูกสาวจากผู้ใหญ่บ้าน แต่กลับถูกปฏิเสธแถมยังโดนผู้ใหญ่ส่งชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือมาลอบทำร้าย แต่ไอ้กะทิก็ไม่ว่ากระไร มันพาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้าน นอนหยอดน้ำข้าวต้มซะหลายวัน แต่ใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาสู่ขอหนูแป้งใหม่จนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน
แต่แล้วความฝันของไอ้กะทิ ก็พังพินาศเมื่อผู้ใหญ่ยก หนูแป้ง ลูกสาวคนสวยให้แต่งงานกับปลัดหนุ่มจากบางกอก ไอ้กะทิ รู้ข่าวจึงรีบกระเสือกกระสนหมายจะมายับยั้งการแต่งงานครั้งนี้ ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็วางแผนป้องกันไว้แล้ว โดยขุดหลุมพรางดักรอไว้ แต่แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายเสียก่อน จึงลอบหนีออกมาหมายจะห้ามหนุ่มคนรักไม่ให้ตกหลุมพราง
คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม หนูแป้งวิ่งฝ่าความมืดออกมาเพื่อดักหน้าไอ้กะทิ ไอ้กะทิเห็นหนูแป้งวิ่งมาก็ดีใจทั้งคู่รีบวิ่งเข้าหากัน ฉับพลัน!!...ร่างของหนูแป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ฯผู้เป็นพ่อ ต่อหน้าต่อตาไอ้กะทิ อารามตกใจนายกะทิก็รีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือหนูแป้ง อารามดีใจสมุนชายฉกรรจ์ของผู้ใหญ่บ้านซึ่งแอบซุ่มอยู่ ก็รีบเข้ามาโกยดินฝังกลบหลุมที่ทั้งคู่หล่นลงไป เพราะคิดว่าในหลุมมีเพียงไอ้กะทิผู้เดียว ...
รุ่งเช้าผู้ใหญ่บ้านสั่งให้ขุดหลุมเพื่อดูผลงาน แทบไม่เชื่อสายตาเบื้องล่างปรากฏร่างของ ไอ้กะทิตระกองกอดทับร่างหนูแป้งลูกสาวของตน ทั้งสองนอนตายคู่กันอย่างมีความสุข เมื่อรอยยิ้มถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตา ผู้ใหญ่บ้านรำพึงต่อหน้าศพของลูกสาวว่า..
"พ่อไม่น่าคิดทำลายความรักของลูกเลย"
ตั้งแต่นั้นมาอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี ทุกแรม ๖ ค่ำ เดือน ๖ ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของไอ้กะทิ กับ แม่แป้ง ก็จะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้ง และกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่า "จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป" ขนมนี้จึงถูกเรียกขานกันในนาม "ขนมแห่งความรัก" หรือ ขนม คน-รัก-กัน ต่อมาถูกเรียกย่อ ๆ ว่า 'ขนม ค-ร-ก' นั่นเอง

วันพืชมงคล

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จฯแทนพระองค์ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ “จรัลธาดา กรรณสูต” ทำหน้าที่พระยาแรกนา พระโคแรกนาได้แก่ “ฟ้า-ใส” ปีนี้พระโคกินงาทายว่าผลาหาร ภักษาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี และพระโคกินหญ้าทายว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์พอควร
เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 11 พฤษภาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในงานพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ พลับพลาท้องสนามหลวง ระหว่างเวลาพระฤกษ์ 8 นาฬิกา 09 นาที ถึงเวลา 8 นาฬิกา 49 นาที
นายจรัลธาดา กรรณสูต ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งทำหน้าที่พระยาแรกนา ได้ยาตราพร้อมด้วยเทพีคู่หาบทอง ได้แก่ น.ส.สุภกัญญา กาญจนะคูหะ เศรษฐกรชำนาญการ ศูนย์ประเมินผล สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร น.ส.รำพึง ปราบหงส์ เจ้าพนักงานพัสดุชำนาญงาน กองพัสดุ กรมชลประทาน และเทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ น.ส.สุนี รู้สุกิจกุล เจ้าพนักงานการเงินและบัญชีชำนาญงาน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม น.ส.ณุทนาถ โคตรพรหม นักวิทยาศาสตร์ปฏิบัติงาน กรมปศุสัตว์
ออกจากโรงพิธีพราหมณ์ มีราชบัณฑิตและพราหมณ์นำผ่านพลับพลาหน้าพระที่นั่ง พระยาแรกนาเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทถวายบังคมแล้วไปยังลานแรกนา เจ้าพนักงานจูงพระโคเทียมแอก อันได้แก่พระโคฟ้า และพระโคใส พระยาแรกนาเจิม พระโคและไถ แล้วจึงไถดะไปโดยรี 3 รอบ โดยขวาง 3 รอบ หว่านธัญพืช โหรลั่นฆ้องชัย แล้วไถกลบอีก 3 รอบ เพื่อกลบเมล็ดธัญพืชลงในดินเสร็จแล้ว
เจ้าพนักงานปลดพระโคออกจากแอก พระยาแรกนาและ เทพีกลับไปยังโรงพิธีพราหมณ์ พราหมณ์เสี่ยงของกิน 7 สิ่ง ตั้งเลี้ยงพระโค โดยนายยุคล ลิ้มแหลมทอง อธิบดีกรมปศุสัตว์ กราบบังคมทูลผลการเสี่ยงทายของพระยาแรกนา โดยโหรหลวงพยากรณ์ว่า พระยาแรกนาเสี่ยงทายผ้านุ่งประกอบพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ดังนี้
เสี่ยงผ้านุ่งปีนี้ พยากรณ์ว่า น้ำสำหรับปีนี้จะมีปริมาณพอดี ข้าวกล้าในนาจะได้ผลบริบูรณ์ ผลาหาร มังสาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี และการเสี่ยงทายพระโคกินเลี้ยง ปีนี้พระโคกินงา พยากรณ์ว่า ผลาหาร ภักษาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี กินหญ้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์พอควร พร้อมด้วยธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร มังสาหาร อุดมสมบูรณ์ดี เสร็จแล้วสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินกลับ

ลดความอ้วน

สูตรลดความอ้วน สูตรที่ 1
สูตรนี้ถ้าปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และไม่โกงตัวเอง รับรองว่าจะลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละ 5 กิโลกรัมโดย 3 วันแรกลดได้ถึง 3 กิโลกรัม ข้อห้าม งดเหล้า ไวน์ น้ำหวาน น้ำอัดลมทุกชนิด ชา กาแฟ ได้นิดหน่อย แต่ห้ามใส่น้ำตาลห้ามรับประทานถั่ว ,ข้าวโพด ทุกชนิดเริ่มวันแรก รับประทานผลไม้ทุกมื้อ โดยเฉพาะ แตงทุกชนิด เพราะมีแคลอรีต่ำ (ยกเว้นแตงกวา) ไม่มีแป้ง น้ำตาล (ส่วนอย่างอื่นงดหมด)วันที่สอง จะเป็นผักทุกชนิด เช่น สลัดผัก มันฝรั่งนึ่งหรือเผา 1 หัว ใส่เนยก้อนเล็กๆเกลือ พริกไทย ซอสมะเขือเทศเพิ่มรสชาติ หรือจะดัดแปลงเป็นอาหารไทย เช่น เห็ดผัดกับน้ำพริกแกง,น้ำพริกเผา ช่วยให้ไม่เบื่ออาหาร (ที่สำคัญอย่างอื่นต้องงดเช่นเดียวกัน)วันที่สาม ผักและผลไม้ ผสมกันรับประทานได้ทั้งวันวันที่สี่ กล้วยหอม 3 ใบ แบ่งรับประทานมื้อละ 1 ใบ ตามด้วยนมพร่องไขมัน มื้อละ 1 แก้ววันที่ห้า สามารถทานเนื้อสัตว์ได้ 10-20 กรัม (ประมาณชิ้นหรือสองชิ้นเล็กๆนั่นแหละ) ทานกับมะเขือเทศ 6 ลูก โดยน้ำไปอบ หรือย่าง แล้วลอกเปลือกออก แบ่งรับประทานเป็น 2-3 มื้อก็จะดีวันที่หก รับประทานได้ทั้งเนื้อปลา ไก่ เนื้อ ทั้ง 3 มื้อ แค่พออิ่ม โดยรับประทานกับสลัดผักวันที่เจ็ด วันสุดท้ายแล้ว ให้เป็นข้าวซ้อมมือ กับผัก (ไม่มีเนื้อสัตว์) แนะนำให้นำข้าวไปคลุก น้ำปลา หรือผัดกับน้ำพริกเผา ผัดร้อนๆ โดยใส่ผักลงไปด้วยก็ได้ โดยไม่มีเนื้อสัตว์
เมื่อครบ 7 วัน ก็หมุน เมนูไปรับประทานเหมือนวันแรก ทำเช่นนี้เป็นประจำทุกสัปดาห์ หรือจะเสริมด้วยซุปที่รับประทานได้ทุกวัน (ยกเว้นวันแรก)ซุปสูตรลดความอ้วนประกอบด้วย เซลอรี 1 ต้น กะหล่ำปลี หอมหัวใหญ่ 6 หัวพริกยักษ์ 1 เม็ด มะเขือเทศ 4 ลูก หั่นใส่รวมกัน ใส่น้ำพอท่วมผัก เติมพริกไทย เกลือ ซอสพริก เพื่อเพิ่มรสชาติ ต้มจนเปื่อย
สูตรลดความอ้วน สูตรที่ 2สูตรนี้เอามาจากโต๊ะจตุจักร คร้าบบบบวันที่ 1เช้า กาแฟ หรือ ชา ไม่ใส่น้ำตาลและครีมเทียม 1 ถ้วยขนมปังปิ้ง 1 แผ่น (โฮลวีทได้ก็จะดีมาก)ถั่ว baked bean 120 กรัม (ถั่วในซอสมะเขือเทศ)ส้ม 1 ลูกกลางวัน กาแฟ หรือชา 1 ถ้วยขนมปังปิ้ง 1 แผ่นปลาทูน่า 120 กรัมเย็น ถั่วฝักยาวต้ม 120 กรัมบีทรูท หรือ แครอท ต้ม 120 กรัมแฮมไก่ 2 แผ่น (หมูไม่ได้)ไอศกรีม วานิลา 1 ถ้วยเล็กวันที่ 2เช้า กาแฟหรือ ชา 1 ถ้วยขนมปังปิ้ง 1 แผ่นไข่ต้ม 1 ฟองกล้วยหอม 1/2 ผลกลางวัน แครกเกอร์แบบเค็ม 5 แผ่นชีส low fat 1 แผ่น (อาจเปลี่ยนเป็น โยเกิร์ตรสธรรมชาต)เย็น บล๊อคโครี่ กับแครอท ต้ม อย่างละ 120 กรัมแฮมไก่ 2 แผ่นกล้วยหอม 1/2 ผลไอศกรีม วานิลา 1 ถ้วยเล็กวันที่ 3เช้า กาแฟหรือ ชา 1 ถ้วยแครกเกอร์ เค็ม 5 แผ่นชีส low fat 1 แผ่นแอ๊ปเปิ้ล 1 ผลกลางวัน กาแฟหรือชา 1 ถ้วยขนมปังปิ้ง 1 แผ่นไข่ต้ม 1 ลูกเย็น ดอกกะหล่ำต้ม กับ แครอท อย่างละ 120 กรัมทูน่า 120 กรัมแตงไทย หรือ แคนตาลูป 1 ชิ้น

ไข้หวัดไหญ่2009

ก่อนที่ไข้หวัดหมูดั้งเดิมจะกลายพันธุ์เป็นไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ดั้งเดิม พบมาตั้งแต่ ค. ศ.1918-1919 ในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu) ระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก จนมีผู้เสียชีวิตประมาณ 50 ล้านคน ส่วนใหญ่อายุ 20-40 ปี และตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จากนั้นโรคไข้หวัดหมูได้แพร่ระบาดในช่วงต่างๆ ก่อให้เกิดโรคในคนอยู่มากกว่า 50 ราย โดยผู้ป่วย 61% มีประวัติสัมผัสหมู และมีอายุเฉลี่ย 24 ปี หลังจากนั้นใน ค.ศ.1974 ไข้หวัดหมูได้แพร่ระบาดในค่ายทหาร (Fort Dix) ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ มีผู้ป่วย 13 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยที่อีก 230 ราย ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่น้อยมาก ทั้งหมดนี้ไม่มีประวัติสัมผัสหมู ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีการพัฒนาจนมีการติดต่อจากคนสู่คน ต่อมาใน ค.ศ.1988 หญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งเสียชีวิตในรัฐวิสคอนซิน และมีประวัติสัมผัสหมู จึงเกิดการสงสัยว่าไข้หวัดหมูอาจไม่ใช่พันธุ์หมูล้วน (classic H1N1) จนกระทั่งปี ค.ศ.1998 จึงพิสูจน์พบว่า หมูที่เลี้ยงในประเทศสหรัฐอเมริกา มีไวรัสไข้หวัดหมูกลายพันธุ์ โดยมีพันธุกรรมผสมระหว่างหมู คน และนก เกิดสายพันธุ์ผสม (Triple assortant virus) H3N2, H1N2, และ H1N1 (วารสารโรคติดเชื้อ JID 2008) และสายพันธุ์ผสมนี้ยังพบได้ในเอเชีย และแคนาดา

ผาเเต้ม

อุทยานแห่งชาติผาแต้ม เป็นหน่วยงานสังกัดส่วนภูมิภาค สังกัดสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ในอดีตชาวบ้านท้องถิ่นทำกินในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ป่าภูผา น้อยคนนักที่จะเดินทางเข้าไปในป่าแห่งนี้ เนื่องจากมีความเชื่อว่า “ผาแต้มเป็นเขตต้องห้าม ภูผาเหล่านั้นมีความศักดิ์สิทธิ์นักเป็นภูผาแห่งความตาย ใครล่วงล้ำเข้าไปมักมีอันเป็นไปอาจเจ็บไข้ หรือเป็นอันตรายถึงชีวิต ” ปัจจุบัน พื้นที่ป่าภูผาแต้ม ได้ถูกเปิดเผยจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เมื่อคณะอาจารย์และนักศึกษาจากภาควิชามนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้มาทำการสำรวจค้นพบภาพเขียนสีโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ผาแต้ม ท้องที่บ้านกุ่ม ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ประกอบกับสภาพป่าในบริเวณใกล้เคียงยังอุดมสมบูรณ์อยู่ จึงได้ทำหนังสือบันทึกจากภาควิชาฯ ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2524 เสนอต่อกองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ขอให้จัดตั้งป่าภูผาในบริเวณผาแต้มเป็นอุทยานแห่งชาติ กองอุทยานแห่งชาติได้บันทึกสั่งการ ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2524 ให้ นายเสงี่ยม จันทร์แจ่ม นักวิชการป่าไม้ 4 ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้า อุทยานแห่งชาติดงหินกอง (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ) ไปทำการสำรวจหาข้อมูลเพิ่มเติมผลการสำรวจปรากฏรายงาน ตามหนังสืออุทยานแห่งชาติดงหินกอง ที่ กส 0708 (ดก) /57 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2524 ว่า “ พื้นที่บริเวณที่ภาควิชามนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากรเสนอขอให้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ อยู่ในบริเวณพื้นที่ป่าภูผาปรากฏภาพเขียนสีโบราณ ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ผาแต้ม สภาพป่าบริเวณใกล้เคียงยังไม่ถูกทำลาย และมีจุดเด่นตามธรรมชาติที่สวยงาม การคมนาคมสะดวกเหมาะที่ตั้งอุทยานแห่งชาติ โดยเห็นควรผนวกบริเวณดังกล่าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติดงหินกอง ”กรมป่าไม้ จึงมีคำสั่งกรมป่าไม้ ที่ 1162/2524 ลงวันที่ 13 กันยายน 2524 ให้นายเสงี่ยม จันทร์แจ่ม นักวิชาการป่าไม้ 4 หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ (อุทยานแห่งชาติดงหินกองเดิม) ไปดำเนินการควบคุมดูแลรักษาป่าภูผาโดยให้พิจารณาผนวกเข้ากับ อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ ทั้งนี้บริเวณภูผาดังกล่าวได้ถูกประกาศรวม กับบริเวณป่าใกล้เคียง ให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติดงภูโหล่นตามกฎกระทรวงฉบับที่ 603 (พ.ศ.2516) ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2526 ต่อมากรมป่าไม้ ได้พิจารณาเห็นว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่คนละส่วน และอยู่ห่างไกลกับอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ ตลอดจนมีอาณาเขตกว้างขวาง เกรงว่าอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ จะดูแลไม่ทั่วถึง และเพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลตาม โครงการอีสานเขียว และกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และการศึกษาหาความรู้ทางวิชาการ จึงมีคำสั่งกรมป่าไม้ ที่ 991/2532 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2532 ให้ นายวรพล รัตนสุวรรณ นักวิชาการป่าไม้ 5 กองอุทยานแห่งชาติ ไปดำเนินการสำรวจเพื่อจัดตั้งพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าดงภูโหล่นท้องที่ อำเภอโขงเจียม อำเภอศรีเมืองใหม่ และอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ 340 ตารางกิโลเมตร หรือ 212,500 ไร่ เป็นอุทยานแห่งชาติผาแต้ม และทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ด้วย กรมป่าไม้โดยกองอุทยานแห่งชาติได้นำเรื่องราวดังกล่าวนี้ เสนอต่อคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งได้มติเห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 3/2432 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2532 ผ่านมติเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2534 และได้รับประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษหน้า 90 – 92 เล่มที่ 108 ตอนที่ 245 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2534 ให้เป็นอุทยานแห่งชาติผาแต้มเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 74 ของประเทศไทย ต่อมาได้มีคำสั่งกรมป่าไม้ ให้นายศักดิ์สิทธิ์ พลทรัพย์ศิริ เจ้าหน้าที่บริหารงานป่าไม้ 7 ทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานฯ คนที่ 2 ปัจจุบันมีคำสั่งให้นายอุทัย พรมนารี นักวิชาการป่าไม้ 7 ว ทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติผาแต้ม

สำหรับเเม่น้อยกว่านี้ได้ยังไง

การที่เราเป็น "ฅน" มาไำด้ทุกวันนี้ เริ่มต้นจากแม่...แม่ คือผู้ให้...ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งชีวิต สติปัญญา ความรัก กำลังใจ การศึกษา การดำรงชีวิตในการเป็นแบบอย่างที่ดี.....ลูกขอนำแบบอย่างของแม่มาปฏิบัติ เพื่อเป็นตัวอย่างของลูก และศิษย์ต่อไป....โรงเรียน (อาเวมารีอา) หนูถือว่าเป็นแม่แห่งการเรียนรู้ของหนูเอง เพราะหนูเริ่ม (การศึกษา) เรียน ม 2 ที่นี่ จนจบชั้นสูงสุด (ขณะนั้น คือ ม 5.) วันนี้หนูกลับมาในอีกสถานะหนึ่งคือครูผู้สอน ผมรู้สึกดีใจมากเหมือนได้กลับมาที่บ้านของตนเอง...และสัญญาว่าจะนำความรู้ความสามารถที่มีอยู่ช่วยพัฒนาบ้า่นของเราให้ดีที่สุดค่ะ.....

เเนะนำตัว

ชื่อนางสาวศศธร ขันธวัต ชื่อเล่น ปุ๋ย

ตอนนี้เรียนอยู่โรงเรียนอาเวมารีอา

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5/3 เลขที่ 18

ครูผู้สอนคุณครูวีระชน ไพสาทย์